ไอเป็นเลือด อันตรายใกล้ตัวที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม!
On December 15, 2021 by beautyไอเป็นเลือด เป็นสิ่งที่หลายคนไม่อยากให้เกิดกับตนเอง และในปัจจุบันมีผู้ป่วยในกลุ่มอาการดังกล่าวเกิดขึ้นจำนวนมาก และความน่ากลัวของการไอออกมาเป็นเลือดนั้น คือ มีความเกี่ยวข้องกับโรคร้ายตามมาได้ด้วย เช่น โรคในระบบทางเดินหายใจ วัณโรค มะเร็ง และหัวใจ เป็นต้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลดูดไขมัน เพื่อสังเกตตนเอง หากมีอาการจะได้เข้ารับการรักษาได้ทันเวลาที่สุด
ไอเป็นเลือด คืออะไร
ไอเป็นเลือด หรือ Haemoptysis คือ อาการที่ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้รับการติดเชื้อ หรือ ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ส่งผลให้เวลาที่ไอจะมีเลือดปนออกมาด้วย โดยลักษณะของเลือดที่ติดออกมากับการไอนั้น จะแตกต่างกันตามระดับความรุนแรงของอาการภายใน ดังนี้
- ถ้าไอแล้วมีเลือดสีแดงสดออกมาปนในลักษณะของฟองหรือลิ่มเลือด แต่ปริมาณน้อย ส่วนใหญ่จะเกิดจากปอดได้รับการติดเชื้อ ควรรีบเข้าพบแพทย์ทันที
- ถ้าไอแล้วเลือดมีสีเข้มพร้อมกับมีเศษอาหารคล้ายกากกาแฟปนออกมาด้วย จะต้องเข้ารับการรักษาทันที ไม่ควรปล่อยให้อาการเรื้อรัง เพราะเป็นสัญญาณเตือนโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง
สาเหตุหลักของอาการไอเป็นเลือด
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้อาการไอเป็นเลือดเกิดขึ้นได้ ในปัจจุบันมีหลายอย่าง ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการมักจะละเลยไป โดยสาเหตุหลักที่ส่งผลทำให้เกิดอาการไอดังกล่าวก็มีดังนี้
- สูบบุหรี่มากเกินไป การสูบบุหรี่ที่มากจนเกินไปจะทำให้ทางเดินหายใจเกิดการระคายเคือง และทำให้ไอ พอไอมากๆ หรือไอเป็นเวลานาน จะส่งผลให้มีเลือดปะปนกับน้ำลาย หรือปนกับเสมหะออกมาได้
- ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับหลอดลม ปอด ที่เกิดการอักเสบเฉียบพลัน สำหรับในกลุ่มที่มีการติดเชื้อ ข้อสังเกตตนเอง คือ มีไข้สูง ผสมกับการไอเป็นเลือด
- หลอดลมทำงานผิดปกติ คือ หลอดลมขยายตัวใหญ่กว่าปกติ ร่างกายจะต้องผลิตเมือก หรือเสมหะออกมาเยอะ จนทำให้ไอรุนแรงและถี่ ส่งผลกระทบให้หลอดลมมีอาการอักเสบ การไอก็จะมีเลือดปนมาได้
- วัณโรค อาการจะมีการไอเรื้อรังติดต่อกันเป็นเวลายาวนานมากกว่า 21 วัน และในการไอทุกครั้งจะมีเลือดสีเข้มปนออกมาร่วมด้วย ยิ่งมีไข้ หอบ เบื่ออาหาร ให้รีบพบแพทย์ทันที
- โรคลิ่มเลือดอุดตันบริเวณปอด จะทำให้หายใจได้ลำบาก จนเกิดการอักเสบ และไอปนเลือดได้ในที่สุด
- โรคหัวใจ ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวชนิดเฉียบพลัน จะทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก และกระทบต่อปอดจนอักเสบ ทำให้เวลาไอ มักจะมีเลือดปนออกมาเป็นฟองได้
- มะเร็งปอด มักจะเกิดกับผู้ป่วยที่สูบหรี่หนักเป็นส่วนใหญ่ และอายุเฉลี่ยที่เกิดโรคคือ หลัง 50 ปีขึ้นไป
- ทานยาในกลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งในกลุ่มที่ทานยาดังกล่าวจะเสี่ยงมากที่ทำให้เกิดภาวะไอเป็นเลือด
- มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดินหายใจ เช่น เศษของมีคมเล็ก ๆ เข้าไปในทางเดินหายใจ และเกิดการบาดจนเป็นแผลมีเลือดออกได้เช่นกัน
วิธีรักษาผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือด
สำหรับการรักษา แพทย์จะเริ่มต้นที่การวินิจฉัย และการสอบถามประวัติต่าง ๆ ก่อน เพื่อประเมินหาจุดที่เลือดออกมา ก่อนที่จะเข้ารับการตรวจร่างกายละเอียดอีกครั้ง การตรวจเพื่อรับการรักษา ดังนี้
- ตรวจค่าสมบูรณ์ของเกร็ดเลือด
- X-Ray ที่บริเวณปอด อก กระบังลม และหัวใจ
- ส่งตรวจเสมหะ เพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อ
- ตรวจสอบที่หลอดเลือด ผ่านวิธีรังสีวิทยา
- ส่องกล้องดูความผิดปกติของหลอดลม
หลังจากทราบจุดที่ทำให้เกิดเลือดปนกับน้ำลายหรือเสมหะขณะไอได้ ก็จะเป็นการรักษาตามอาการต่อไป หากเป็นอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก แพทย์จะสั่งจ่ายยาตามอาการไปก่อน เช่น ยาแก้ไข หากรุนแรง แพทย์จะพิจารณาการรักษาทุกเคส และแจ้งเป็นรายบุคคลไป โดยแต่ละคนไม่สามารถรักษาเหมือนกันได้หมด เพราะจุดที่ทำให้มีเลือดออกต่างกัน
วิธีป้องกันอาการไอเป็นเลือด
หากไม่ต้องการตกเป็นผู้ป่วยในกลุ่มอาการไอเป็นเลือด และต้องเสียเวลา เสียทรัพย์ในการรักษา เราก็มีแนวทางในการดูแลสุขภาพมาฝาก ดังนี้
- นอนหลับพักผ่อนร่างกายให้เพียงพอในแต่ละวัน
- ขยันออกกำลังกาย ให้ร่างกายมีเหงื่อเป็นประจำ
- รับประทานอาหารที่มีคุณค่าโภชนาครบ 5 หมู่
- งดการสูบหรี่ หรือการสูดดมควันบุหรี่ และสารเคมีต่าง ๆ
จะเห็นได้ว่าการดูแลสุขภาพตนเองทุกวัน เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย เพียงแค่มีวินัยในตนเองมากพอ และยังป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย ส่งผลให้ชีวิตมีความสุขได้อย่างแท้จริง ดังเช่นประโยคที่ว่า การไม่มีโรค คือ ลาภอันประเสริฐนั่นเอง