รวมวิธีแก้ท้องผูก สาหตุของอาการ และปัจจัยเสี่ยงที่ควรรู้
On December 14, 2021 by beautyหลายคนต่างคุ้นเคยกับอาการท้องผูกกันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่บริโภคสารอาหารจำพวกไฟเบอร์น้อยเกินไป จะส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย ทำให้ถ่ายอุจจาระลำบาก จำเป็นต้องออกแรงเบ่งมากกว่าปกติ รวมทั้งใช้เวลาในการขับถ่ายนาน และเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องเสี่ยงดูดไขมันทั้งตัวกับอาการท้องผูกได้ง่าย เราจึงนำสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับท้องผูกมาแชร์ให้ได้ทราบและนำไปปฏิบัติตามกันค่ะ
ท้องผูกคืออะไร
ท้องผูก หรือ Constipation คือ อาการที่ทำให้ผู้ป่วยมีการขับถ่ายที่ผิดปกติไปจากเดิม ถ่ายอุจจาระลำบาก ลักษณะของอุจจาระจะแข็ง แห้ง และก้อนใหญ่ จำเป็นต้องใช้แรงเบ่งมากๆ อุจจาระได้น้อย จึงทำให้รู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด มักทำให้ไม่สบายตัว แน่นท้อง อึดอัด และปวดท้อง ทั้งนี้อาการท้องผูกอาจเกิดจากพฤติกรรมการกินอาหาร บริโภคสารอาหารประเภทไฟเบอร์น้อยเกินไป รวมทั้งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาการดังกล่าวนี้สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น จะทำให้เกิดอาการท้องผูกมากขึ้นไปด้วย
4 สาเหตุของอาการท้องผูก
ในส่วนของสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกมีมากมาย และสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1.เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อบริเวณลำไส้และทวารหนัก
2.เกิดความผิดปกติหรือมีการอุดกั้นที่ลำไส้และทวารหนัก
3.เป็นโรคที่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมน เช่น โรคเบาหวาน ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติ ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง หรือตั้งครรภ์
4.มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทบริเวณลำไส้และทวารหนัก
อาการท้องผูกโดยทั่วไป
อย่าเข้าใจผิดไปว่า การไม่ถ่ายอุจจาระทุกวันคืออาการท้องผูก เพราะการขับถ่ายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งอาการท้องผูกโดยทั่วไปสามารถสังเกตอาการที่เกิดขึ้นได้ดังต่อไปนี้
1.ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
2.อุจจาระแข็ง
3.ถ่ายอุจจาระยากลำบาก
4.มีอาการปวดหรือตึงบริเวณท้องและทวารหนักในระหว่างขับถ่าย ซึ่งนั่นอาจเกิดตะคริวในช่องท้องก็ได้เช่นกัน
5.มีอาการแน่นท้องหรือรู้สึกถ่ายไม่สุด แม้จะเพิ่งขับถ่ายไปก็ตาม
6.มีอาการท้องอืด
7.ปวดหัว
8.มีความอยากอาหารน้อยลง
อาการท้องผูกที่ต้องพบแพทย์
ในกรณีที่มีอาการอื่นๆ ซึ่งรุนแรงกว่าอาการท้องผูกทั่วไปที่กล่าวไปข้างต้นนั้น จำเป็นที่จะต้องพบแพทย์โดยด่วน เช่น
1.ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
2.เสียเลือดมากจากการอุจจาระจนทำให้เกิดอาการซีดและโลหิตจาง
3.คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมาก และแน่นท้อง
4.มีอาการอ่อนเพลีย
5.น้ำหนักลดแบบผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุอื่นๆ
วิธีรักษาอาการท้องผูก
ในส่วนของการรักษาอาการท้องผูกนั้น สามารถรักษาได้ด้วย 3 วิธีดังนี้
1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารและการใช้ชีวิต
การรักษาอาการท้องผูกด้วยวิธีแรกนั้น ควรเลือกกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เพราะไฟเบอร์จะเข้าไปเพิ่มน้ำหนักให้กับอุจจาระ ทำให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น โดยเริ่มจากการกินธัญพืชและกินผักผลไม้สดบ่อยๆ ทั้งนี้ควรกินในปริมาณที่พอดี ต้องค่อยๆ เพิ่มการกินไฟเบอร์ ไม่ควรกินในปริมาณมากรวดเดียว เพราะจะทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืดได้ ต้องหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณลำไส้เคลื่อนไหว จะช่วยในส่วนของการเคลื่อนตัวของอุจจาระ และไม่ควรอั้นอุจจาระเด็ดขาด ควรถ่ายอุจจาระทันทีเมื่อรู้สึกปวด
2.รักษาด้วยยา
การรักษาอาการท้องผูกด้วยยา จะมีการใช้ยาหลากหลายตัว และต้องกินควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งยาที่กินเพื่อรักษาอาการท้องผูก จะมีทั้งอาหารเสริมไฟเบอร์ ยาระบาย หรือยาที่ช่วยดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ลำไส้
3.รักษาด้วยการผ่าตัด
การรักษาอาการท้องผูกด้วยการผ่าตัด ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาที่มักใช้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาในเรื่องลำไส้ใหญ่เคลื่อนตัวช้า ลำไส้เกิดการอุดตัน ผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะทวารหนัก หรือผู้ป่วยรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล ซึ่งแพทย์อาจจะพิจารณาตัดลำไส้ใหญ่ออกบางส่วน
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากอาการท้องผูก
เมื่อเกิดอาการท้องผูก สิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องเจอ ไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายท้องเท่านั้น ซึ่งหากมีอาการเรื้อรังหรือรุนแรง ก็จะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ดังนี้
1.มีเลือดออกทางทวารหนัก
2.มีแผลปริที่ขอบทวารหนัก
3.ไส้เลื่อน
4.ลำไส้เกิดการอุดตัน
5.กลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะไม่อยู่
6.เกิดภาวะอุจจาระอัดแน่น หรือเรียกว่า Fecal Impaction
7.ภาวะไส้ตรงปลิ้น หรือเรียกว่า Rectal Prolapse
8.เป็นโรคริดสีดวงทวาร
9.เป็นโรคมะเร็งลำไส้
10.เกิดภาวะเครียดและอาจทำให้ซึมเศร้าได้
ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก
หลายคนอาจจะสงสัยว่าอาการท้องผูกเกิดจากการกินอาหารประเภทไฟเบอร์ไม่เพียงพอแค่นั้นจริงหรือ ซึ่งในความเป็นจริงนั้น มีปัจจัยเสี่ยงอีกมากมายที่มีส่วนทำให้เกิดอาการท้องผูก เช่น
1.การใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตแบบคนเมือง
2.กินอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย
3.ดื่มน้ำน้อยหรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
4.ชอบกินอาหารแปรรูปหรืออาหารสำเร็จรูป
5.ละเลยการออกกำลังกาย หรือไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย
6.เดินทางบ่อย ทำให้ขับถ่ายไม่เป็นเวลา รวมทั้งการที่ต้องใช้ห้องน้ำที่ตัวเองไม่คุ้นเคย
7.มีพฤติกรรมอั้นอุจจาระเป็นประจำ หรือมีการเบ่งอุจจาระผิดวิธี
8.ใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้า โรคพาร์กินสัน หรือโรคลมชัก ยาลดความดันโลหิต ยาต้านฮีสตามีนที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้ ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแคลเซียมหรืออะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ ยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของโคดีอีน เป็นต้น
9.มีอายุมาก ซึ่งอาการท้องผูกมักพบในผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่นๆ
จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกก็คือการกินอาหารประเภทไฟเบอร์ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมถึงการดื่มน้ำน้อยก็มีส่วนทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน ซึ่งสาเหตุที่เกิดจากพฤติกรรมที่คุ้นเคยเช่นนี้ มักเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามบ่อยๆ ยังไงก็อย่าลืมกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารในสัดส่วนที่พอดี และหมั่นดื่มน้ำมากๆ พร้อมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำ ย่อมช่วยป้องกันและแก้อาการท้องผูกได้